วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตายแล้วไปไหน..นรกสวรรค์มีจริงมั๊ย????

คำถามที่ทุกคนอยากรู้
ตายแล้วไปไหน..นรกสวรรค์มีจริงไหม??? 
เชิญมาค้นหาด้วยหลักการทางพระพุทธศาสนา
และวิทยาศาสตร์

ตั้งแต่ลืมตาดูโลก...เมื่อเกิดมา
คุณเคยสงสัยไหมว่า
ทำไมคนเราถึงต้องเกิดมา
แล้วทำไมต้องตาย...ตายแล้วไปไหน
นรกสวรรค์มีจริงไหม???

เนื้อความในพระพุทธศาสนา 

เรื่องการเกิดตายจากพุทธพจน์
ที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎก.. มีดังนี้


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค
มหานิทานสูตร กถาว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท
ถ้าเขาถามว่านามรูปมีอะไรเป็นปัจจัย
เธอพึงตอบว่า มีวิญญาณเป็นปัจจัย 
เมื่อเธอถูกถามว่า วิญญาณมีสิ่งนี้
เป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี 
ถ้าเขาถามว่า วิญญาณมี
อะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า 
มีนามรูปเป็นปัจจัย ดูก่อนอานนท์ 
เพราะนามรูป เป็นปัจจัยดังนี้แล 
จึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณ
เป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป


สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกาย มหาวรรค
อรรถกถามหาปทานสูตร

เอตฺตาวตา ชาเยถ วา ความว่า 
ท่านแสดงบททั้ง ๕ พร้อมด้วยจุติ
และปฏิสนธิอื่น ๆ อย่างที่ว่า เมื่อวิญญาณ
เป็นปัจจัย แก่นามรูป  และเมื่อนามรูป
เป็นปัจจัย แก่วิญญาณ แม้เมื่อทั้งสอง
ก็เป็นปัจจัยของกันและกัน ด้วยเหตุ
เพียงเท่านี้ สัตว์โลกพึงเกิดบ้าง 
พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง 
พึงอุบัติบ้าง ก็นอกจากนี้อย่างอื่น
ยังมีอีกหรือ สัตว์พึงเกิดบ้าง ฯลฯ 
พึงอุบัติบ้าง นี้เท่านั้นมิใช่หรือสัตว์
ย่อมเกิด ฯลฯ

มก.13.136

นอกจากนี้ ยังไม่เนื้อความเรื่อง
ความเชื่อเรื่องการเกิดตาย 
จากพระอรรถกถาอื่นๆ ดังนี้

 จากพระสูตรปายาสิราชัญญสูตรการถาม-ตอบ  
ในเรื่องโลกหน้า เทวดา บุญ บาป และกฎแห่งกรรม 
ระหว่างพระเจ้าปายาสิ และพระมหาเถระองค์หนึ่ง
ชื่อ พระกุมารกัสสปะ  เป็นไปเพื่อช่วยละ
จากมิจฉาทิฐิ  จึงยกมาโดยย่อดังนี้

ป. ท่านกัสสปะ โยมมีทิฐิอย่างนี้ว่า 
โลกหน้าไม่มี  โอปปาติกสัตว์ไม่มี (เทวดา เป็นต้น) 
ผลแห่งกรรมดี กรรมชั่วไม่มี
ก. เหตุที่ทำให้พระองค์ทรงเข้าพระทัยว่า 
โลกหน้าไม่มี  โอปปาติกสัตว์ไม่มี 
ผลแห่งกรรมดี กรรมชั่วไม่มีมีอยู่หรือ

ป. มีอยู่ ด้วยว่า มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต 
ของโยมในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ 
ประพฤติผิตในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด 
พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ โลภมาก มีจิตพยาบาท
 มีความเห็นผิด ต่อมาพวกเขาป่วย 
ทุรนทุราย เป็นไข้หนัก โยมรู้ว่า 
เวลานี้พวกเขายังไม่หายป่วย  
จึงเข้าไปเยี่ยมแล้วสั่งว่า    
ท่านทั้งหลายมีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง 
วาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า 
บุคคลผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิตในกาม 
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ 
พูดเพ้อเจ้อ โลภมาก มีจิตพยาบาท 
มีความเห็นผิต หลังจากตายแล้ว
จะต้องไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต หรือ นรก

ก็แลพวกท่าน เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ 
ประพฤติผิตในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด 
พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ โลภมาก 
มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิต  
ถ้าหากคำของสมณพราหมณ์พวกนั้น
เป็นความจริง  หลังจากตายแล้ว
พวกท่านคงไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต 
หรือ นรก   ถ้าพวกท่านไปเกิดในอบาย 
ทุคติ วินิบาต หรือ นรก หลังจากตาย
แล้วจริง ก็จงกลับมาบอกเราบ้างว่า 
โลกหน้ามี  โอปปาติกสัตว์มี  
ผลแห่งกรรมดี กรรมชั่วมี 

คนเหล่านั้นรับคำของโยมแล้ว 
แต่ไม่เห็นมีใครกลับมาบอก  
เพราะเหตุนี้แล โยมจึงเชื่อว่า 
โลกหน้าไม่มี  โอปปาติกสัตว์ไม่มี 
ผลแห่งกรรมดี กรรมชั่วไม่มี

ก. ถ้าเช่นนั้น อาตมาภาพขอทูลถาม
พระองค์ในเรื่องต่อไปนี้ พระองค์จะทรง
มีความเห็นเช่นไร คือ พวกราชบุรุษ (ตำรวจ) 
ของพระองค์ จับโจรผู้ก่อกรรมชั่วมา
เพื่อขอให้พระองค์ทรงลงพระอาญา  
พระองค์ทรงมีรับสั่งให้ ทำการพันธนาการ 
นำไปตระเวนประจานให้ทั่ว 
จนถึงแดนประหารแล้วจงตัดศีรษะมันเสีย’ 
แต่ก่อนจะถูกประหาร หากโจรขอร้องว่า 
ขอให้ท่านเพชฌฆาตโปรดรอจนกว่า
ข้าพเจ้าจะได้ไปแจ้งแก่มิตร อำมาตย์ 
ญาติสาโลหิต ของข้าพเจ้า ณ 
ที่ตำบลโน้นก่อน แล้วจึงจะกลับมา

ขอถามว่า โจรจะได้รับการผ่อนผัน
ตามที่ขอ หรือ เพชฌฆาตจะลงมือประหาร
โดยทันทีเล่า

ป. โจรไม่ควรได้รับการผ่อนผันตามที่ขอ 
แต่ควรถูกประหารโดยทันที

ก. ก็โจรนั้นเป็นมนุษย์ยังไม่ได้รับ
การผ่อนผันจากเพชฌฆาตที่เป็นมนุษย์
ด้วยกันเลย จะป่วยการไปไยถึง มิตร 
อำมาตย์ ญาติสาโลหิต ของโยมในโลกนี้ 
ป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิตในกาม 
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ 
พูดเพ้อเจ้อ โลภมาก มีจิตพยาบาท 
มีความเห็นผิด ซึ่งหลังจากตายไปเกิด
นอบาย ทุคติ วินิบาต หรือ นรก แล้ว
จะได้รับการผ่อนผันจากนายนิรยบาล
ตามคำขอร้องนั้น

ป.   ถึงกระนั้นก็ตาม โยมก็ยังคง
เชื่อเหมือนเดิมว่าโลกหน้าไม่มี  
โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลแห่งกรรมดี กรรมชั่วไม่มี
ก.   ด้วยเหตุไร

ป.   มีอยู่ ด้วยว่า มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต 
ของโยมในโลกนี้ เป็นผู้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ 
ลักทรัพย์ ประพฤติผิตในกาม พูดเท็จ 
การเสพของมึนเมา

ต่อมาพวกเขาป่วย ทุรนทุราย เป็นไข้หนัก 
โยมรู้ว่า เวลานี้พวกเขายังไม่หายป่วย  
จึงเข้าไปเยี่ยมแล้วสั่งว่า    “ท่านทั้งหลาย
มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง วาทะอย่างนี้ 
มีทิฐิอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ 
ลักทรัพย์ ประพฤติผิตในกาม พูดเท็จ 
การเสพของมึนเมา หลังจากตายไปแล้ว 
จะได้ไปเกิดอยู่ร่วมกับเทพชั้นดาวดึงส์

ก็แลพวกท่าน  เป็นผู้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ 
ลักทรัพย์ ประพฤติผิตในกาม พูดเท็จ 
การเสพของมึนเมาถ้าหากคำ
ของสมณพราหมณ์พวกนั้นเป็นความจริง  
หลังจากตายแล้วพวกท่านคงไป
เกิดอยู่ร่วมกับเทพชั้นดาวดึงส์   
ถ้าพวกท่านไปเกิดอยู่ร่วมกับเทพชั้นดาวดึงส์ 
หลังจากตายแล้วจริง ก็จงกลับมา
บอกเราบ้างว่า โลกหน้ามี  โอปปาติกสัตว์มี  
ผลแห่งกรรมดี กรรมชั่วมี 
คนเหล่านั้นรับคำของโยมแล้ว 
แต่ไม่เห็นมีใครกลับมาบอก  
เพราะเหตุนี้แล โยมจึงเชื่อว่า โลกหน้าไม่มี  
โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลแห่งกรรมดี กรรมชั่วไม่มี
               
ก.  ถ้าเช่นนั้น อาตมาภาพขอทูลถาม
พระองค์ในเรื่องต่อไปนี้ พระองค์
จะทรงมีความเห็นเช่นไร

100  ปีมนุษย์ เท่ากับคืนและ
วันหนึ่งของเทพชั้นดาวดึงส์
มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต 
ของพระองค์ในโลกนี้ เป็นผู้ละเว้นจากการ
ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิตในกาม พูดเท็จ 
การเสพของมึนเมา หลังจากตายแล้ว
ได้ไปเกิดในโลกสวรรค์อยู่ร่วมกับเทพ
ชั้นดาวดึงส์  หากพวกเขาคิดอย่างนี้ว่า 
รอเวลาให้พวกเราอิ่มกับการปรนนิบัติ
บำเรอด้วยกามคุณ 5 อันเป็นทิพย์สัก 2-3 วัน 
ก่อนค่อยไปกราบทูลพระเจ้าปายาสิว่า
โลกหน้ามี  โอปปาติกสัตว์มี  
ผลแห่งกรรมดี กรรมชั่วมี พวกเขา
จะพึงมีโอกาสกลับมากราบทูล
พระองค์เช่นนั้นหรือ

ป.  ย่อมไม่มีโอกาส เพราะ 
พวกเราคงตายไปนานแล้ว  แต่ใครล่ะ
บอกพระคุณเจ้าว่า เทพชั้นดาวดึงส์
มีอยู่จริงหรือมีอายุได้ถึงเพียงนั้น

ก.  มหาบพิตร อุปมาเหมือนคนตาบอด
แต่กำเนิดคนหนึ่งเขาไม่เคยเห็นรูปสีดำ 
สีขาว สีเขียว ไม่เคยเห็นดวงดาว 
ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์เลย  ด้วยเหตุนี้
เขาจึงพูดว่า รูปสีดำ สีขาว สีเขียว ไม่มี  
คนที่เห็นรูปสีดำ สีขาว สีเขียว ก็ไม่มี

ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ไม่มี  
คนที่เห็นดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ 
ก็ไม่มี มหาบพิตร เมื่อเขากล่าวว่า 
ข้าพเจ้าไม่รู้จักสิ่งนี้  ไม่เห็นสิ่งนั้น 
เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นจึงไม่มี เป็นคำกล่าว
ที่ถูกหรือไม่

ป. ไม่ถูกท่านกัสสะปะ เพราะรูปสีดำ สีขาว
สีเขียว มี  คนที่เห็นรูปสีดำ สีขาว สีเขียว ก็มี
ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ มี  
คนที่เห็นดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ก็มี

ก. เช่นเดียวกับ ที่พระองค์ทรงมีรับสั่ง
กับอาตมภาพว่า ใครล่ะบอกพระคุณเจ้าว่า 
เทพชั้นดาวดึงส์มีอยู่จริงหรือมีอายุได้ถึงเพียงนั้น  
เพราะผู้ที่เห็นนั้นมีอยู่  แต่คนธรรมดา
จะเห็นโลกหน้าด้วยตาเนื้อ ดังที่
พระองค์ทรงเข้าใจหาได้ไม่  สมณพราหมณ์
ผู้ไม่ประมาท มีความเพียร 
มีทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ย่อมสามารถเห็น
โลกนี้ โลกหน้า ตลอดจนเห็นเหล่า
โอปปาติกสัตว์ได้ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์
เหนือตาเนื้อของมนุษย์

สรุปคำสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
รวมทั้งพระอรรถกถาจารย์ ชี้ชัดว่าโลกนี้มี
โลกหน้ามีจริง...
ทางด้านวิทยาศาสตร์ ปัจจุบัน มีการ
ทดลองค้นคว้า เรื่องการตายแล้วฟื้น
และระลึกชาติได้ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน

 ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson, M.D.) 
นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ 
“การจำอดีตชาติได้” และ “การกลับชาติมาเกิด” 
มานานกว่า ๔๗ ปี

 เมื่อท่านได้เสียชีวิตลงแล้ว นสพ.วอชิงตันโพสต์ 
ของสหรัฐอเมริกา ได้สดุดีว่า 
“ท่านเป็นบุคคลที่ทำการค้นคว้าหาหลักฐาน 
เกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้อย่างมีหลักการ 
ยากที่จะปฏิเสธได้”

 นสพ.เทเลกราฟ ของอังกฤษ กล่าวว่า 
“ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่องการ
เวียนว่ายตายเกิด ในยุค ๒๐๐๐”

 การศึกษาวิจัยของ ศ.นพ.เอียน ได้ดำเนินการ
มากว่า ๔๗ ปี ตั้งแต่ก่อนปี ๒๕๐๓ 
ซึ่งท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้ 
หรือผู้ที่สืบชาติมาเกิดใหม่ จากชาติ
และศาสนาต่างๆ ทั่วโลก ทั้งใน ยุโรป 
อเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกา และทวีปเอเชีย 
(รวมทั้งประเทศไทย) มากกว่า ๓,๐๐๐ 
ด้วยการสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัยเด็ก 
ที่จำอดีตชาติได้ จำนวนมหาศาล ถึง ๑ ล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน 
(Chester Carlson) ผู้คิดประดิษฐ์
เครื่องถ่ายเอกสารให้พวกเราได้ใช้กัน
อยู่ทุกวันนี้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ
เดินทางไปสืบหากรณีศึกษา สัมภาษณ์ 
และเก็บข้อมูลหลักฐานในประเทศต่างๆ 
ทั่วโลก เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย

 ผลงานการศึกษาวิจัยของศ.นพ.เอียน 
ได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นรายงานทางวิชาการ 
ในนิตยสารชั้นนำทางวิทยาศาสตร์ หนังสือ 
และตำรับตำราออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่
ปี ๒๕๐๗ ถึงปัจจุบัน มากกว่า ๒๐๐ เล่ม 
จนเป็นที่ยอมรับจากบรรดานักวิทยาศาสตร์
ทั่วโลก

 แต่ผลงานการศึกษาวิจัยของท่าน 
เป็นการนำเสนอเรื่องราวความจริงที่ขัดกัน
กับคำสอน และความเชื่อทางศาสนา ฮีบรู (ยิว) 
คริสต์ และอิสลาม

 แต่ถึงแม้ว่า ดร.เอียน สตีเวนสัน จะถูก
ตราหน้าจากศาสนิกชนที่นับถือ ศาสนาฮีบรู (ยิว) 
ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ว่า 
ความคิดของเขาเป็นความคิดนอกรีต (Heresy) 
หรือเป็นพวกนอกรีต (Heresies) ก็ตาม 
แต่ความจริงที่ท่านได้พิสูจน์ และยืนยันในวันนี้ 
จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง 
ในวงการวิทยาศาสตร์ และจากผู้คนทั่วโลก
ท่านยังคงเป็นนักศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เป็นกลาง 
เชื่อในความเป็นจริง และเป็นนักวิทยาศาสตร์
ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกตลอดไป
 สุดท้าย เมื่อท่านเสียชีวิต ท่านก็คงจะได้
พบความจริง และได้ประจักษ์ชัดเกี่ยวกับ 
ชีวิตหลังความตาย ด้วยตัวของท่านเองแล้ว 
ไม่ต้องท่องเที่ยวสืบหาศึกษาวิจัยกรณี
ศึกษาใดๆ อีกต่อไป

 การศึกษาวิจัยของ ศ.นพ.เอียน สามารถ
บอกกับโลกว่า "ความจริงเกี่ยวกับวงจรชีวิต
ของคนเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย และตั้งแต่ตาย
จนกระทั่งเกิดใหม่นั้น  อาจจะไม่เป็นไปตาม
ความเชื่อของศาสนาต่างๆ เหล่านี้" 

 ด้วยเหตุที่ว่า "การศึกษาวิจัยชี้ไปที่ 
ความมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย 
คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ 
คนเราสามารถจำอดีตชาติได้ และเวรกรรม
มีจริง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ตัวท่านเองก็เกิด
ในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์  
ท่านไม่เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง
การเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน แต่เมื่อท่าน
เป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านก็ไม่ได้เอา
ความเชื่อทางศาสนามากีดกั้นความจริง
ที่พิสูจน์ได้ ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 
เพราะท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่า 
ท่านจะทราบถึงธรรมชาติที่แท้จริง 
เกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเราว่า   
ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง 
คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้จริง 
คนเราสามารถจำอดีตชาติได้จริง และเวรกรรมมีจริง"

อย่าประมาทในวัย....โลกนี้โลกหน้ามีจริง
เร่งทำแต่ความดี
  
ในเมื่อหลักการของทั้งพระพุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์
ในยุคปัจจุบันเอื้อการเช่นนี้แล้ว
ไยเราชาวพุทธ ในทะเบียนบ้านของประเทศไทย
ยังคงเข่นฆ่า ทำร้ายกัน ด้วยกรรมต่างๆ นานา

หยุดเถิด..ผู้ทำบาปชั่วช้าทั้งหลาย
โลกนี้จะดำรงต่อไปด้วยความรัก เมตตา 
และปรารถนาดีต่อกัน...จงเชื่อในความดี
"บางสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ...ไม่อาจบอกได้ว่า
มันไม่มีอยู่จริง ...เมื่อถึงเวลาหลับตาละโลก
นั่นแหละ!! จึงจะรู้ความจริงด้วยตัวท่านเอง"

ขอบคุณที่อ่านมาจนบรรทัดสุดท้าย
ขอแสดงความนับถือ
โปรดติดตามตอนต่อไป 
แชร์ข้อมูลนี้ได้หากท่านเห็นว่าเป็นประโยชน์
Cr.พิทักษ์ธรรม

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

"อารัมภบท" ทำไมจึงศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์

มนุษย์บนโลกใบนี้...ต่างเกิดมาต่างกัน
และมีความเชื่อที่ต่างกัน

สิ่งหนึ่งที่เรามีเหมือนกัน คือ ลมหายใจและชีวิต 
พร้อมสมองที่สร้างปัญญาและการรับรู้ 
ซึ่งนั่น ทำให้พวกเราต่างจากสัตว์

ปัญญาของมนุษย์เป็นสิ่งที่พิเศษเหลือล้ำ
เพราะสร้างสิ่งประดิษฐ์ความรู้, วิทยาการ, 
เทคโนโลยีวิชาต่างๆ บนโลกนี้มากมาย 
จากนักวิทยาศาสตร์ นักคิด นักปรัญชา

เมื่อก่อนถ้ากล่าวถึงเรื่องศาสนา 
หลายๆคน ...ที่ยังไม่ได้ศึกษา
อาจจะคิดว่า ศาสนาเป็นเรื่อง
เหลือเชื่อและงมงาย

เพราะวิทยาศาสตร์ค้นคว้าทดลอง
แล้วเห็นผล ส่วนศาสนาอาจจับต้องไม่ได้ 
กว่าจะได้บรรลุขั้นสูงสุด หรือได้พบ
กับความอัศจรรย์ ต้องรอคอย และวัดผลไม่ได้

ปัจจุบัน..เรื่องศาสนากับวิทยาศาสตร์
 มีการค้นคว้ามากขึ้น เพื่อหาความ
เกี่ยวข้อง และพิสูจน์สิ่งที่เป็นไปได้

และแล้วมีศาสนาหนึ่ง ที่มีความเกี่ยวข้อง
มากที่สุด เพราะผู้ให้กำเนิดศาสนา
ได้ทำการทดลองและค้นคว้า ด้วยตนเอง 
และได้ผลสรุปในที่สุด

นั่นคือ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

ทำไมฉันถึงสร้างบล๊อกนี้ขึ้นมา
แน่นอนว่ามีผู้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ 
พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์มามากมาย 
ใน social ต้องกล่าวก่อนว่า 
แม้ยุคนี้จะมีความรู้และการสอนในชั้นเรียน
แต่ 2,500 กว่าปี พุทธศักราชดำเนินมาจนบัดนี้
ต้องยอมรับว่า มีผู้คนจำนวนไม่น้อย
ต่างกำลัง...ค้นหา
แต่คนจำนวนไม่น้อย เมื่อศึกษา
พระพุทธศาสนาตั้งแต่เยาว์
กลับดูถูก ดูหมิ่น และลบหลู่พระพุทธเจ้า 
ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม
ไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มี
เขาจึงเลือก "ทำตามอำเภอใจ"
ชั่วช่างชี ...ดีช่างสงฆ์

ทำให้บ้านเมือง โดยเฉพาะประเทศไทย 
ดินแดนสุวรรณภูมิของเรา ต้องถึงกลียุค 
เพราะถูกคนชั่ว ปั่นป่วน สร้างกระแส 
ใส่ร้ายป้ายสี ย่ำยีพระสงฆ์
และสุดท้ายเมื่อมีแต่การสร้างข่าวร้ายๆ 
ท้ายสุดคงไม่มีใครอยากนับถือพุทธศาสนา
ไม่มีใครเชื่อว่าทำดีต้องได้ดี ไม่มีใคร
เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง

อย่ากระนั้นเลย!!! ในฐานะที่ได้เกิดมา
ในดินแดนสุวรรณภูมิ อันเคยรุ่งเรือง
ด้วยธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยปัญญาที่มี 1 สมอง 2 มือ และ 1 หัวใจนี้
จะค้นคว้า และนำหลักฐานมาให้ท่าน
วิเคราะห์บนพื้นฐานความจริง
ดีจริง - ตัวจริง - ถูกต้องตามหลักธรรม

เอหิปัสสิโก...จงอย่าเชื่อเมื่อฟังตามกันมา
หากคุณอ่านจนถึงบรรทัดนี้...
หวังว่าคุณคงเป็นอีกคนที่เปิดใจ
ในเรื่องวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนา

เราจะติดตามไปพร้อมๆ กัน 
ขอบคุณและอนุโมทนา (สาธุ) (แปลว่า "ดีแล้ว")

พระพุทธศาสนา...
เป็นศาสนาแห่งปัญญา และเหตุผล
เป็นความรู้สากล ที่ทุกคนต้องศึกษา
ไม่เลื่อนลอยเหมือนก้อนเมฆในท้องนภา
ที่ใฝ่หาผู้ที่ไม่มีอยู่จริง